เปลี่ยนตู้สาขาโทรศัพท์เก่า แบบ Analog เป็น IP PBX ทำอย่างไร?

ตู้สาขาแบบเดิมที่ใช้คู่สายทองแดง (Copper Line) มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ไม่สามารถรองรับฟังก์ชันการทำงานที่ทันสมัย และมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า อีกทั้งในปัจจุบันอะไหล่ของตู้สาขาโทรศัพท์แบบเก่าหาได้ยาก และไม่ค่อยมีช่างเทคนิคที่สามารถซ่อมบำรุงได้แล้ว
ในขณะที่ IP-PBX เป็นเทคโนโลยีที่ทำงานผ่านเครือข่าย IP หรืออินเทอร์เน็ตได้ทั้งแบบสายและไร้สาย ทำให้มีข้อดีมากมาย เช่น:

  • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดค่าโทรศัพท์ทางไกลและระหว่างสาขา
  • ความยืดหยุ่นสูง: สามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ตผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
  • ฟีเจอร์ที่ทันสมัย: รองรับการประชุมทางวิดีโอ, การบันทึกเสียงสนทนา, ระบบ IVR (Interactive Voice Response) และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • ง่ายต่อการบริหารจัดการ: สามารถตั้งค่าผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้
  • รองรับการขยายตัว: สามารถเพิ่มจำนวนเบอร์ภายในได้ง่าย

การเปลี่ยนระบบไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด โดยสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ดังนี้:

  • ตรวจสอบและประสานงานกับผู้ให้บริการเบอร์โทรศัพท์: สอบถามและแจ้งความต้องการในการเปลี่ยนคู่สายโทรศัพท์แบบเดิม (ที่เป็น Analog) มาเป็นการเชื่อมต่อแบบ IP หรือ SIP Protocol
    • ปัจจุบันผู้ให้บริการโทรศัพท์ส่วนใหญ่ เปลี่ยนโครงข่ายสายสัญญาณที่ลากเข้าไปหาจุดติดตั้งของผู้ใช้งานใหม่เป็นสายไฟเบอร์เกือบทั้งหมดแล้ว โดยมีอุปกรณ์ ONU และอุปกรณ์เน็ตเวิร์คเชื่อมต่อแบบ IP หรือ SIP Protocol กับชุมสายพร้อมอยู่แล้ว ดังนั้นทางเทคนิค จะสามารถเชื่อมต่อกับตู้สาขาโทรศัพท์แบบ IP PBX ได้โดยตรงด้วยสาย LAN ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าอุปกรณ์หรือการ์ดที่ต้องใช้ในการซื้อตู้สาขาโทรศัพท์แบบ IP PBX ใหม่ (สามารถสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: @bingcomm)
  • ตรวจสอบจำนวนเบอร์ภายใน: สำรวจว่าปัจจุบัน คุณมีจำนวนเบอร์ภายในที่ใช้งานอยู่กี่เบอร์ และต้องการเพิ่มหรือลดจำนวนเบอร์หรือไม่
  • ตรวจสอบโครงสร้างสาย LAN: เนื่องจากระบบ IP-PBX ทำงานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบว่าในแต่ละจุดที่ต้องการติดตั้งโทรศัพท์นั้น มีสาย LAN (Local Area Network) ที่พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือต้องการใช้งานแบบไร้สาย (WIFI)
  • เลือกตู้สาขา IP-PBX: เลือกตู้สาขาที่เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้งาน ฟังก์ชั่น และงบประมาณที่เตรียมไว้
  • การติดตั้งตู้ IP-PBX: ปรกติช่างจะติดตั้งตู้ IP-PBX ในตู้ Rack หรือห้องเซิร์ฟเวอร์ (Server Room) ที่มีอยู่เดิม และเชื่อมต่อกับเครือข่ายภายในเดิม
  • การเดินสาย: ในกรณีที่ไม่มีสาย LAN อยู่แล้ว ต้องทำการวางแผนและดำเนินการติดตั้งสาย LAN และอุปกรณ์เน็ตเวิร์คต่างๆ เพิ่มเติมให้พร้อมใช้งาน
  • การติดตั้งโทรศัพท์ IP Phone: นำโทรศัพท์ IP Phone รุ่นที่เลือกไปติดตั้งในแต่ละจุด พร้อมต่อสาย LAN หรือเชื่อมต่อแบบไร้สาย (WIFI) และปรับตั้งค่าหมายเลข Extension และสิทธิ์การใช้งานให้พร้อม
  • การตั้งค่าเบอร์ภายใน (Extension): โปรแกรมตั้งค่าเบอร์ภายในให้กับพนักงานแต่ละคน พร้อมทั้งตั้งชื่อและกำหนดสิทธิ์การใช้งาน
  • การตั้งค่าระบบโทรเข้า-โทรออก: ตั้งค่าระบบ IVR สำหรับการกดเพื่อติดต่อฝ่ายต่าง ๆ รวมถึงตั้งค่าการโทรออกให้เหมาะสม เช่น การกำหนดให้โทรออกได้เฉพาะเบอร์ภายในหรืออนุญาตให้โทรออกต่างประเทศได้
  • การตั้งค่า Voice Mail และ Call Recording: ตั้งค่าระบบฝากข้อความเสียง และระบบบันทึกเสียงสนทนาสำหรับการตรวจสอบหรือปรับปรุงคุณภาพการบริการ และ/หรือฟังก์ชั่นอื่นๆ ตามความต้องการ

ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนระบบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ครับ:

  1. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง (Initial Cost):
    • ค่าอุปกรณ์: ได้แก่ ตู้สาขาโทรศัพท์ IP-PBX, โทรศัพท์ IP Phone, Gateway (สำหรับเชื่อมต่อกับคู่สายเก่า) และอื่น ๆ
    • ค่าบริการติดตั้ง: ค่าแรงของช่างเทคนิคในการติดตั้งและตั้งค่าระบบ
    • ค่าเดินสาย LAN (ถ้ามี): ค่าสาย LAN, ค่ารางเก็บสาย และค่าแรงในการติดตั้ง (สามารถดำเนินการแยกส่วนกันได้ โดยให้ผู้รับเหมาทางด้านเน็ตเวิร์คเป็นผู้ทำได้)
  2. ค่าบริการรายเดือน หรือรายปี (Recurring Cost) (ถ้ามี):
    • ค่าบริการ IP-PBX: ค่าบริการสำหรับแพ็กเกจการใช้งาน ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปตามจำนวนเบอร์ภายในและฟีเจอร์ที่คุณเลือกใช้ ปรกติจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ถ้าเป็นการซื้อขาด แต่จะมีค่าบำรุงรักษาหรือการต่ออายุประกันรายปี (หากลูกค้าต้องการ)
    • ค่าโทรศัพท์: ค่าโทรศัพท์จะคิดตามจริง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ซึ่งมักจะมีราคาถูกกว่าการโทรศัพท์ผ่านคู่สายแบบเดิมมาก

หากสนใจสินค้า สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่ หรือต้องการให้ประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น สามารถแจ้งข้อมูลเบื้องต้นและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับมาได้เลยครับ บิงคอมยินดีให้บริการ 😊
ติดต่อ LINE ID: @bingcomm หรือโทร 062 4946915